คาเฟ่แมว – บ้านแมว พื้นที่กระชับมิตรของทาสแมวขาจร
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “แมว” เป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของมนุษย์ และมีอิทธิพลต่อจิตใจคนรักสัตว์อย่างมาก ด้วยรูปร่างหน้าตาที่น่ารัก เสน่ห์อันลึกลับน่าค้นหา และความเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ที่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมตกเป็น “ทาส” เพื่อเอาชนะใจ “นายท่าน” สักครั้ง แม้จะต้องอุทิศทั้งเวลาและทุนทรัพย์จำนวนไม่น้อยในการดูแลแมวก็ตามทีอย่างไรก็ตาม ยังมีคนรักแมวอีกหลายคนที่ไม่สามารถอัพเลเวลตัวเองสู่ความเป็นทาสแมวได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านวิถีชีวิต เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในหอพักหรืออะพาร์ตเมนต์ รวมทั้งการที่สมาชิกในครอบครัวไม่อนุญาตให้เลี้ยงแมว ดังนั้น “คาเฟ่แมว” และ “บ้านแมว” จึงเกิดขึ้นและทำหน้าที่เป็นช่องทางแห่งความฟินสำหรับทาสแมวขาจรทั้งหลาย ที่ไม่เพียงแต่จะชุบชูจิตใจเหล่าทาสเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นพื้นที่แห่งมิตรภาพสำหรับมนุษย์ด้วย
“เหมือนเราอยู่ชั้นล่างสุดของระบบนิเวศ คือเวลาเราจะทำอะไร เราต้องคำนึงถึงแมวก่อน” เสียงจากคุณฐิตาภา สิงหพิบูลย์ หรือคุณทับทิม ทาสแมวและเจ้าของ “Indicat Café” คาเฟ่แมวสีดำสุดเท่ริมถนนสิรินธร ที่ก่อตั้งมานานเกือบ 4 ปี โดยมีพนักงานแมวประจำการถึง 29 ตัว
คุณทับทิมเล่าว่า Indicat Café เกิดขึ้นจากความตั้งใจของคุณทับทิมเอง ที่ต้องการใช้เวลาอยู่กับแมวของเธอให้มากที่สุด หลังจากที่พบว่าการทำงานประจำหามรุ่งหามค่ำทำให้เธอไม่มีเวลาดูแลแมว ซึ่งขณะนั้นมีอยู่ทั้งหมด 7 ตัว จนกระทั่งแมวตัวหนึ่งป่วยและเข้ารักษาในโรงพยาบาล ดังนั้น งานใหม่ที่เธอเลือกก็คือการก่อตั้งคาเฟ่แมวสไตล์ลอฟต์ ที่ให้บริการเล่นกับแมว พร้อมอาหารและเครื่องดื่ม
“เราจะคุยกับลูกค้าว่าที่บ้านเลี้ยงแมวหรือเปล่า ส่วนใหญ่ก็คืออยู่หอพัก อะพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ก็คือเลี้ยงแมวไม่ได้ แล้วก็อยากมาเล่นกับแมว อยากมาสัมผัส ฟังก์ชันที่นี่มันครบ เพราะว่าเขาจะได้ทั้งเล่นกับแมว กินอาหาร เครื่องดื่ม แล้วเราก็ให้บริการ wifi คุณสามารถแบกแล็ปท็อปมาทำงานได้เลย มันตอบโจทย์เกือบทุกไลฟ์สไตล์” คุณทับทิมเล่า
ในห้องแมวบนชั้น 2 จะมีพนักงานแมวฝูงใหญ่คอยต้อนรับลูกค้า พร้อมอุปกรณ์เสริมอย่างไม้ตกแมว และกิจกรรมที่ทั้งฟินและเจ็บปวดในคราวเดียวกัน อย่างการป้อนอกไก่ต้ม ที่เหล่าแมวจะเข้ามารุมแย่งอกไก่จากมือของคุณ และจากไปอย่างไร้เยื่อใยเมื่ออกไก่หมดถ้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแมวที่มาทำหน้าที่แจกความสดใสนั้นเป็นแมวของคุณทับทิมเอง ดังนั้น การดูแลด้านความสะอาดและความปลอดภัยจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“เราค่อนข้างเป็นคนใส่ใจเรื่องความสะอาดอยู่แล้ว คนที่เลี้ยงแมวทั่วไปจะอาบน้ำให้แมวเดือนละครั้ง แต่เราอาบน้ำให้แมวอาทิตย์ละครั้ง พอมาเปิดร้าน ก็ต้องยิ่งให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดยิ่งขึ้น เช่น ทุกวัน ตอนเก็บแมว เราก็จะเช็ดตัวแมวด้วยทิชชู่เปียกทุกวัน หวีขน ตัดเล็บ แคะหู แคะขี้ตาทุกวัน” คุณทับทิมเล่า พร้อมเสริมว่า ทางร้านมีการศึกษานิสัยใจคอของแมว ทำให้รู้ว่าแมวแต่ละตัวมีข้อเสียอย่างไร ซึ่งทำให้ต้องวางระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่
“เราใกล้ชิดแมว เราก็จะรู้ว่าตัวนี้มีข้อเสียคืออะไร เช่น ตัวนี้ไม่ถูกกับตัวนี้ ตัวนี้ไม่ชอบให้จับขา จับหาง เพราะฉะนั้น ห้องแมวก็จะต้องมีคนอยู่ด้วย คือมีเจ้าหน้าที่ของเราอยู่ตลอดเวลา เช่น ตัวนี้กับตัวนี้เข้ามาใกล้กันแล้ว ก็เข้าไปแยกก่อนที่จะเกิดอันตราย”
นอกจากนี้ ทางร้านยังมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในหลายจุด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับแมว
“ปัญหาส่วนมากจะเกิดกับลูกค้าที่เป็นเด็ก ผู้ปกครองที่พาลูกหลานมา เราก็มีกฎแปะไว้ว่าต้องดูแลลูกหลานอย่างใกล้ชิดนะ แต่บางทีก็มีการปล่อยปละละเลย ส่วนมากที่เราเห็นก็คือคุณพ่อคุณแม่นั่งเล่นโทรศัพท์แล้วปล่อยลูกวิ่งเล่น บางคนเหยียบหางแมว ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ในสายตาเรา ถ้าเสียงดังหรือแกล้งแมว เราเชิญกลับบ้านทั้งครอบครัวเลย” คุณทับทิมกล่าวอย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ภาพคาเฟ่ลอฟต์เรียบเท่ในฝันของคุณทับทิมกลับเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือน “บ้านเพื่อน” ที่เหล่าทาสแมวนิยมมาเยี่ยมเยียนทั้งแมวและเจ้าของ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันที่ร้านปิด
“วันจันทร์ร้านปิด ลูกค้าจะโทรมาตอนเช้า ถามว่าร้านเปิดไหม เหมือนโทรมาแกล้งน่ะ เราก็บอกว่าวันนี้ร้านหยุดค่ะ เขาถามว่าพี่จะเอาอะไรไหม เดี๋ยวซื้อเข้าไปฝาก เราไม่ได้มองคนที่มาใช้บริการเป็นลูกค้า เรามองว่าเขาเป็นเพื่อน เหมือนเพื่อนมาบ้านเรา มาเล่นกับแมวเรา แต่การมาบ้านของเพื่อนเราต้องทำให้เราและแมวเราอยู่ได้ด้วย”
ไม่ใช่แค่คาเฟ่แมวที่มีพนักงานแมวมาให้ลูกค้าได้เอาอกเอาใจ (ไม่ได้เอาใจลูกค้า!) เท่านั้น แม้แต่สถานสงเคราะห์สัตว์ก็มีการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของทาสแมวมากขึ้น อย่าง “มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ (ในความอุปถัมภ์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)” ที่หันมาสร้าง “บ้านแมว” ให้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้ที่มาบริจาคสิ่งของและเยี่ยมเยียนสัตว์พิการ และกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากสื่อออนไลน์